ตอนที่ 2 การประเมินประสิทธิภาพและประสิทธิผลการปฏิบัติงาน
1. ด้านการจัดการเรียนการสอน
1.1 การสร้างและ/หรือพัฒนาหลักสูตร




๐ หลักสูตรที่ไม่ปรับแต่ขยับได้ เน้นความยืดหยุ่นในการเรียนในโรงเรียน
เป็นหลักสูตรที่ผมไม่ได้คิดขึ้นมาเอง แต่มาจากการพูดคุยกับนักเรียนตลอดปี ทั้งนักเรียนห้องปกติ ห้องเรียนพิเศษ และการไปศึกษาดูงานโรงเรียนสาธิต มศว ประสานมิตร โรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และ โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียน โดยหลักสูตรนี้มีรายละเอียดดังนี้
ในการเลือกความเชื่อที่เราจะจัดการศึกษาของโครงการห้องเรียนพิเศษ เราได้เลือกปรัชญาการศึกษา "อัตถิภาวนิยม" คือมองเห็นความแตกต่างของผู้เรียน และจะสนับสนุนความหลากหลายนั้นตามแนวคิด "พหุปัญญา" นั่นคือเรามองว่าผู้เรียนแต่ละคนมีความฉลาดที่หลากหลาย โดยผู้ที่ค้นพบเรื่องนี้คือ โฮเวิร์ด การ์ดเนอร์ (Howard Gardner) แห่งมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งกล่าวไว้ว่า ความสามารถทางปัญญาของมนุษย์ตามทฤษฎีพหุปัญญา แบ่งออกเป็น 8 ด้าน ได้แก่
1. ปัญญาด้านภาษา (Linguistic Intelligence)
2. ปัญญาด้านตรรกะและคณิตศาสตร์ (Logical – Mathmatical Intelligence)
3. ปัญญาด้านมิติสัมพันธ์ (Visual – Spatial Intelligence)
4. ปัญญาด้านร่างกายและการเคลื่อนไหว (Bodily – Kinesthetic Intelligence)
5. ปัญญาด้านดนตรี (Musical Intelligence)
6. ปัญญาด้านมนุษย์สัมพันธ์ (Interpersonal Intelligence)
7. ปัญญาด้านความเข้าใจตนเอง (Intrapersonal Intelligence)
8. ปัญญาด้านธรรมชาติวิทยา (Naturalist Intelligence)
และจากปรัชญาและทฤษฎีที่กล่าว ทำให้เรายิ่งชัดเจนว่า เราจะมองเด็กของเราแบบนี้ครับ
สำหรับมัธยมศึกษาตอนต้น (เข้า ม.1)
เราจะจัดการศึกษาตาม พ.ร.บ. การศึกษาไทย ที่จะให้นักเรียนช่วงชั้นนี้ได้สำรวจความถนัด โดยเราจะมีทั้งวิชาการ การทำกิจกรรมผ่านค่าย เพื่อให้เค้าได้ค้นพบตนเอง โดยรายละเอียดจะบอกไว้ด้านหลังครับ. asdสำหรับมัธยมศึกษาตอนปลาย (เข้า ม.4)
เราค้นพบปัญหามาตลอดว่า นักเรียนเมื่อเข้ามาเรียนแล้ว จะมีความสับสน ว่าเราชอบหรือเราถนัด และพอเรียนไปแล้วอาจจะไม่รอดในสายที่เลือกตอนแรก ทำให้นักเรียนมีความเครียด แบกความกดดัน ส่งผลให้เกิดความทุกข์ในการมาโรงเรียน และการคุยกับผู้ปกครองเพื่อเปลี่ยนสายการเรียนนั้นก็ดูจะเป็นเรื่องลำบาก
เราจึงเลือกแก้ปัญหาโดยการให้ 1 ห้องเรียนมี 4 สายการเรียน โดยวิชาพื้นฐานจะเรียนด้วยกัน แต่วิชาเพิ่มเติมบางวิชาจะแยกกันไปเรียน เช่น
คาบ 4 เรียนคณิตศาสตร์เพิ่มเติม จะมีสายศิลป์-คำนวณ กับ วิทย์-คณิต ที่เรียนด้วยกัน แต่สาย ศิลป์-จีน กับ ศิลป์-ญี่ปุ่น จะแยกไปเรียนภาษาของตนเอง เป็นต้น
และการเรียนในห้องที่นักเรียนมีความแตกต่างหลากหลาย จะเป็นผลดีในเชิงการเรียนรู้ครับ เพราะเมื่อมีงานที่ต้องทำร่วมกัน และนักเรียนคละความสามารถกัน นักเรียนแต่ละคนจะฉายแสงในมุมที่ตัวเองถนัดแต่คนอื่นไม่ถนัด ช่วยสอนกัน ร่วมมือกัน เรียนรู้ความถนัดของเพื่อน เพื่อนก็จะเก่งขึ้น รวมถึงตัวคนที่เก่งในเรื่องที่ครูกำลังให้ทำ ก็จะยิ่งเก่งเพราะได้ย้ำความคิด ทบทวนความรู้ไปด้วย
สำหรับการย้ายสายและต้องเปลี่ยนห้องนั้นถือเป็นเรื่องที่ลำบากใจของนักเรียนมาก ๆ เพราะเมื่อมีการเปลี่ยนห้อง นักเรียนจะต้อง set พื้นที่ปลอดภัยใหม่ และอาจจะยากกว่าการเริ่มทำตั้งแต่เนิ่น ๆ
เราเห็นว่าปัญหานี้แก้ได้ หากเราให้นักเรียนที่ย้ายสาย ยังได้อยู่ห้องเดิม ได้อยู่กับเพื่อนที่ set พื้นที่มาด้วยกัน จึงให้นักเรียนได้ทดลองเรียนไปก่อน ครึ่งเทอม เมื่อคะแนนสอบออกมาแล้ว จะสามารถขอเปลี่ยนสายการเรียนได้ และจะมีการเสริมเติมเต็มให้กับนักเรียนที่ย้ายสายแต่เรียนไม่ทันเพื่อน
สิ่งที่เราเน้น จะทำให้ได้ทั้ง 3 ฐานคือ
ฐานหัว HEAD
ฐานใจ HEART
ฐานกาย HAND
สำหรับ "ฐานหัว"
เราจะเน้น ความรู้
ในส่วนของภาษาเราจะได้เรียนกับครูต่างชาติ ซึ่งจะทำให้เราสามารถกล้าพูดกล้าสื่อสารได้มากขึ้น
มัธยมศึกษาตอนต้นจะได้ทดลองเรียน ฟิสิกส์ เคมี ชีวิทยา และภาษาจีน เพื่อสำรวจตัวเองว่าเราสามารถไปทางไหนได้บ้าง
มัธยมศึกษาตอนปลาย นอกจากสายการเรียนที่มีความเข้มข้นของเนื้อหาอยู่แล้ว จะมีการเรียนเสริมหรือทบทวนก่อนสอบเข้ามหาวิทยาลัย ทั้ง O-NET GAT PAT
และการเรียนเสริมวันเสาร์ ในส่วนของมัธยมศึกษาตอนต้น เราจะเน้นไปที่วิชาการเป็นหลัก ส่วนความถนัดความชอบ เราจะค่อย ๆ นำเข้ามาให้นักเรียนได้ทดลองเรียนกันครับ อาจเป็นในรูปของค่ายกิจกรรม หรือพบวิทยากรในบางครั้ง
ในส่วนของมัธยมศึกษาตอนปลาย เราจะมีการเรียนการสอนวันเสาร์เป็นวิชานอกห้องเรียนตามความสนใจของผู้เรียน โดยในปีแรก ๆ อาจจะไม่ได้มีให้เลือกเยอะมาก เพราะเราเพิ่งเริ่มต้น แต่หากทำได้ เราก็จะทำให้นักเรียนได้เรียนในสิ่งที่ห้องเรียนสอนไม่ได้ครับ เช่น การป้องกันตัว ถ่ายหนัง แต่งเพลง เต้น เป็นต้น
"ฐานกาย"
เป็นอีกหนึ่งความสำคัญที่เราต้องให้นักเรียนของเราได้ลงมือทำ ผ่านประสบการณ์จริง ทั้งวิชาเลือกที่เราจะมีให้ทุกวันเสาร์ หรือการไปค่ายวิชาการ/เปิดประตูสู่การเรียนรู้
และในปีนี้จะเป็นปีแรกที่จะมีวิชาละคร ภาวะผู้นำ ให้นักเรียนสายศิลป์-จีน ศิลป์-ญี่ปุ่น ได้เรียนกันครับ (ในอนาคตวิชาเหล่านี้จะเป็นวิชาเลือกต่อไปครับ)
"ฐานใจ"
นอกจากเน้นความรู้(ฐานหัว)แล้ว เราก็ต้องรู้จักที่จะผ่อนคลายให้นักเรียนได้มี "ความสุข" เรารู้สึกว่าความสุขเป็นตัวแปรสำคัญในการเรียนรู้ เราจึงมีห้อง Co-Learning Space สำหรับพักผ่อน มีทั้งบอร์ดเกมให้เล่น หนังสือขายดีให้อ่าน มีคอมพิวเตอร์ให้สืบค้น และโทรทัศน์สำหรับการเรียนเสริมหากครูต้องใช้โปรแกรมนำเสนอ
และที่สำคัญที่สุดคือสุขภาพ เรามองว่าเราจะสอนใครถ้านักเรียนสุขภาพไม่ดี เราจึงจะติดเครื่องฟอกอากาศ เพื่อให้นักเรียนมีอากาศหายใจที่ดี และมีแรงในการเรียนรู้ต่อไป
และและและที่สำคัญกว่านั้น คือปีน้ีเราจะมีนักจิตวิทยามาให้คำปรึกษา หากนักเรียนมีเรื่องไม่สบายใจ ไม่สามารถเล่าบางเรื่องให้คนในโรงเรียนฟังได้ ก็สามารถมานั่งคุยกับนักจิตวิทยาของเราได้ครับ
1.2 การจัดการเรียนรู้
1.2.1 การออกแบบหน่วยการเรียนรู้
![]() | ![]() | ![]() |
---|
จัดทำประมวลรายวิชาด้วย Visual เพื่อให้เห็นภาพว่าทั้ง 2 รายวิชา และ 1 ชุมนุมจะต้องทำอะไรบ้าง
1.2.2 การจัดทำแผนการจัดการเรียนรู้
![]() | ![]() | ![]() |
---|---|---|
![]() | ![]() | ![]() |
![]() | ![]() | ![]() |
![]() | ![]() | ![]() |
![]() | ![]() | ![]() |
![]() | ![]() | ![]() |
![]() | ![]() | ![]() |
![]() | ![]() | ![]() |
![]() | ![]() | ![]() |
ในปีนี้ผมได้จัดทำแผนการสอนหน้าเดียว โดยมีเป้าหมายจะทำวิจัยเกี่ยวกับ "ผลของการสอนด้วยแผนหน้าเดียวที่มีต่อความสุขของครูและการเรียนรู้ของนักเรียน" ซึ่งผมได้สอนตามแผนนี้ตลอดระยะเวลา 1 ภาคการศึกษา โดยแท้จริงแล้วผมทดสอบตั้งแต่ภาคเรียนที่ 1 ด้วย และได้ผลดีต่อตัวเองมากคือพอหยิบแผนมาดู ก็จะเห็นภาพว่าเราต้องเตรียมอะไร สอนอะไร แม้จะมีปรับบ้าง แต่ก็ยังคงโครงสร้างแผนไว้ ทั้งตัวกิจกรรมที่สอน และสิ่งที่สำคัญและจำเป็นต่อแผนการสอน ส่วนนักเรียน ก็มีการเปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัด ทั้งระบบความคิด หรือการยึดโดยงความรู้ที่สอนกับชีวิตประจำวันได้มากขึ้น เพราะเมื่อทำแผนหน้าเดียว ก็ทำให้เรามีเวลาเตรียมตัว วางแผนการตั้งคำถาม และขั้นนำที่ดี ซึ่งผมมีความสุขในการสอนหนังสือขึ้นมากครับ
1.2.3 กลยุทธ์ในการจัดการเรียนรู้
โดยผมใช้ระบบคิดกับวิชา ค31202 ด้วยกลยุทธ์จากแนวคิดดังต่อไปนี้
1. ปรััชญาการศึกษา : ปฏิรูปนิยม พิพัฒนาการนิยม สารัตถนิยม และอัตถิภาวะนิยม
2. จิตวิทยา : มนุษย์นิยม และ Positive Psychology
3. รูปแบบการสอนแบบ : Collaborative Learning
4. วิธีการสอน : สาธิต ทดลอง อุปนัย สถานการณ์จำลอง บรรยาย อภิปราย การเรียนรู้ผ่านประสบการณ์ และกระบวนการเปิด
5. เทคนิคการสอน : การใช้สื่อการสอน การใช้คำถาม การใช้ขั้นนำ
1.2.4 ศึกษา วิเคราะห์ สังเคราะห์ และวิจัยเพื่อแก้ปัญหา หรือพัฒนาการเรียนรู้ที่ส่งผลต่อคุณภาพผู้เรียน
![]() | ![]() | ![]() |
---|---|---|
![]() | ![]() | ![]() |
![]() | ![]() | ![]() |
![]() | ![]() | ![]() |
![]() | ![]() | ![]() |
![]() | ![]() | ![]() |
![]() | ![]() | ![]() |
![]() | ![]() | ![]() |
![]() | ![]() | ![]() |
![]() | ![]() | ![]() |
ทุกคาบจะมีการทำบันทึกหลังแผนการสอน โดยสิ่งที่ได้พัฒนาจากการสอนในวิชานี้คือการตั้งคำถาม เพื่อให้นักเรียนคิดวิเคราะห์ และคิดสร้างสรรค์ โดยการถามว่า
1. คิดอย่างไรบ้าง?
2. ทำไมคิดแบบนั้น?
3. แน่ใจใช่ไหม?
4. อะไรเป็นตัวยืนยัน?
5. ใช้ความรู้เรื่องอะไร?
6. แล้วคิดว่าจะออกมาเป็นอย่างไร?
7. แล้วทำอย่างอื่นได้ไหม?
8. ถ้าไม่ทำแล้วจะเกิดอะไร?
9. เชื่อมโยงกับชีวิตอย่างไร?
รวมไปถึงการให้นักเรียนประเมินผู้สอนเพื่อวิจัยตนเอง และพัฒนาปรับปรุงการสอนต่อไป
วิจัยในชั้นเรียน
บทคัดย่อ
หัวข้อวิจัย : ผลของการใช้สื่อออนไลน์ที่มีผลต่อการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4/1ของนักเรียนที่ใช้สื่อออนไลน์ โรงเรียนมัธยมวัดดุสิตาราม ปีการศึกษา 2562
ผู้วิจัย : นายร่มเกล้า ช้างน้อย
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ ระหว่างกลุ่ม ทดลองที่ใช้กับสื่อออนไลน์ กับกลุ่มควบคุมที่ไม่ได้ใช้สื่อออนไลน์ ประชากรที่จะทำการศึกษา เป็นนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4/1 โรงเรียนมัธยมวัดดุสิตาราม จำนวน 9 คน โดยตัวอย่างประชากร ในการวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยใช้การเลือก โดยจะเลือกตัวอย่างโดยวิธีการเลือกนักเรียน ที่ใช้สื่อออนไลน์สำหรับการเรียน วิชาคณิตศาสตร์จำนวน 2 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวมรวบข้อมูล ในงานวิจัยครั้งนี้ คือ แบบทดสอบ หลังเรียนวิชาคณิตศาสตร์หลังใช้ สื่อออนไลน์สำหรับการเรียนวิชาคณิตศาสตร์
ผลการวิจัยพบว่า ผลของการใช้สื่อออนไลน์ที่มีผลต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ ของ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4/1 ของนักเรียนที่ใช้สื่อออนไลน์โรงเรียนมัธยมวัดดุสิตารามปีการศึกษา 2562 มีดังนี้
ผลการทดสอบ t-test พบว่า Sig. = .008 < ที่ระดับ .05 แสดงว่าปฏิเสธ H0 ยอมรับ H1 ว่า ค่าเฉลี่ยต่างกัน นั่นคือผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ ระหว่างกลุ่มทดลองที่ใช้กับสื่อออนไลน์ กับกลุ่มควบคุมที่ไม่ได้ใช้สื่อออนไลน์ มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ .05 ซึ่งค่าเฉลี่ยของนักเรียนที่ใช้สื่อออนไลน์ในการเรียน มีค่าเฉลี่ยที่สูงกว่า
สามารถชมฉบับเต็มได้ที่ https://docs.google.com/document/d/19NqBry5KNfDLSMVowR48dWvtiOvCrjnudCQvektt1aM/edit?usp=sharing
1.3 การสร้างและ/หรือพัฒนาสื่อ นวัตกรรม เทคโนโลยีทางการศึกษา และแหล่งเรียนรู้



